เรียนรู้ก่อนซื้อเครื่องประดับทอง
ทองคำเป็นเครื่องประดับที่ไม่มีวันล้าสมัย นั่นเพราะทองคำมีความสวยงามทุกครั้งเมื่อสวมใส่ ทองคำบริสุทธิ์จะไม่ทำปฎิกิริยากับธาตุอื่นๆที่ทำให้เกิดความหมอง ในกรณีของการแพ้ทองคำนั้นเกิดจากการแพ้โลหะชนิดอื่นๆที่ผสมลงไปในทองคำ แต่ทองคำเองก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยมาก
ทองคำเป็นโลหะที่สามารถขึ้นรูปได้หลากหลายแบบ แม้จะถูกรีดให้เป็นเส้นบางๆก็จะไม่ขาดได้ง่ายๆ ทองคำหนึ่งออนซ์สามารถทำให้เป็นแผ่นบางๆได้พื้นที่ถึง 10 ตารางเมตร ด้วยคุณสมบัติพิเศษนี้ จึงทำให้ทองคำสามารถนำไปสร้างสรรค์ผลงานได้มากมาย
ความบริสุทธิ์ของทองคำ
เวลาที่ซื้อทองเรามักจะพบตัวเลข 18K 14K หรือ 10K ซึ่งตัวอักษร K จะหมายถึง กะรัต เป็นหน่วยที่ใช้บอกเปอร์เซนต์ของทองคำที่มีอยู่ในเครื่องประดับชิ้นนั้นๆ ยิ่งตัวเลขสูงก็แสดงว่ามีทองคำอยู่มาก ที่พบเห็นกันทั่วไป ได้แก่
…24K เป็นทองคำ 99.99%
…18K มีทองคำเป็นส่วนประกอบอยู่ 18 ส่วนหรือ 75% อีก 6 ส่วนเป็นโลหะชนิดอื่น
…14K มีทองคำเป็นส่วนประกอบอยู่ 14 ส่วนหรือ 58.3% อีก 10 ส่วนเป็นโลหะชนิดอื่น
…12K มีทองคำเป็นส่วนประกอบอยู่ 12 ส่วนหรือ 50% อีก 12 ส่วนเป็นโลหะชนิดอื่น
…10K มีทองคำเป็นส่วนประกอบอยู่ 10 ส่วนหรือ 41.7% อีก 14 ส่วนเป็นโลหะชนิดอื่น โดยในสหรัฐอเมริกาจะถือว่าทอง 10K เป็นกะรัตที่น้อยที่สุดที่สามารถเรียกว่าทองคำได้ ถ้าต่ำกว่านี้จะไม่ถือว่าเป็นทองคำ และจะเรียกว่า Solid gold
ความนิยมในแต่ละพื้นที่ก็จะแตกต่างกันไป อย่างเช่น
…ทอง 24K เป็นที่นิยมในไทย จีน ฮ่องกง และอินโดนีเซีย และยังมีการใช้ทอง 96.5% มาจำหน่ายเป็นทอง 24K ด้วย
…อินเดียและตะวันออกกลางจะนิยมทอง 22K
…ในแถบยุโรป เช่น อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์จะไม่นิยมทองที่มีสีเข้มมากนัก ทอง 18K จึงเป็นที่นิยม ในขณะที่อังกฤษและเยอรมันนิยมทอง 14K
…สหรัฐอเมริกาก็เช่นเดียวกันกับยุโรป คือ ไม่นิยมทองที่มีเข้ม ความนิยมจึงอยู่ที่ทอง 18K และ 10K
…ทองที่มีเปอร์เซนต์ทองต่ำกว่าทอง 10K อย่าง 9K ที่ใช้ในอังกฤษ และ 8K ที่ใช้ในเยอรมัน ก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นทองคำ
ในสหภาพยุโรปไม่ได้ระบุหน่วยของทองคำเป็นตัวเลขและตามด้วย K แต่จะใช้ตัวเลขเปอร์เซนต์แทน เช่น ทอง 18K จะระบุว่า 750 ซึ่งหมายถึงทองคำ 75% หรือ 417 สำหรับทองคำ 10K ที่หมายถึงมีทองคำ 41.7% นั่นเอง
นอกจากตัวเลขที่ระบุถึงสัดส่วนของทองคำในเครื่องประดับแล้ว ยังอาจสังเกตเห็นสัญลักษณ์อื่นๆอีกด้วย เช่น เครื่องหมายการค้าของผู้ผลิต หรือประเทศผู้ผลิต เป็นต้น
ทำไมต้องผสมโลหะอื่นๆลงไปในทองคำ
เนื่องจากทองคำมีความอ่อนเกินไปที่จะสามารถทนทานต่อการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน โลหะอื่นๆที่เพิ่มลงไปจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงทนทานมากขึ้น และยังทำให้ราคาของเครื่องประดับต่ำลงด้วย
การเติมโลหะอื่นลงไปมีผลต่อสีทองคำ อย่างการเติมพัลลาเดียม (Palladium) หรือนิกเกิล (Nickel) จะทำให้ทองคำเปลี่ยนเป็นทองคำขาว ถ้าเติมทองแดง (Copper) ก็จะได้ทองสีชมพู ในขณะที่เงิน (Silver) จะทำให้เกิดสีออกเขียวๆ
การชุบด้วยทองคำ
เป็นการลดต้นทุนที่ประหยัดได้มาก โดยยิ่งชุบให้มีความหนาของทองมากเท่าใด ก็จะทำให้มีความทนทานไม่หลุดลอกง่ายเท่านั้น
การเลือกซื้อเครื่องประดับทอง
หากปัจจัยสำคัญคือความทนทาน ควรเลือกที่มีสัดส่วนของทองคำไม่สูงมาก แต่สำหรับผู้ที่แพ้นิกเกิลหรือโลหะอื่นๆที่ผสมลงไป ควรเลือกที่มีสัดส่วนของทองคำสูงขึ้น เช่น 18K หรือ 22K
การสวมใส่เครื่องประดับทองชุบควรจะระมัดระวังในกรณีของผู้ที่แพ้โลหะ เนื่องจากถ้าทองที่เคลือบอยู่หลุดออกไป ก็อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้เมื่อผิวสัมผัสกับโลหะที่เป็นตัวเรือนได้
อ้างอิง : About.com , สมาคมค้าทองคำ
ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูล