Loading
250x250 Free Watch

สมัครสมาชิกเพื่อรับข่าวสารทางอีเมล์:

กรุณาตรวจสอบอีเมล์เพื่อยืนยันหลังจากทำการสมัคร

โพสล่าสุด

แบ่งปัน

Jewelry Do's and Don't

การเรียนรู้เรื่องการแต่งตัวเป็นสิ่งจำเป็นพอๆกับที่ควรจะเรียนรู้เรื่องการใช้จิวเวลรี่ประดับร่างกาย เพราะหากแต่งตัวได้ดี แต่เลือกใช้จิวเวลรี่ได้ไม่เหมาะสม ก็ทำให้พลาดได้ง่ายๆ

By CharadeBy Geri

จิวเวลรี่ชิ้นใหญ่ เหมาะกับเสื้อผ้าเรียบๆที่ไม่มีลวดลาย เพราะลวดลายของเสื้อผ้านั้นไม่ได้ทำให้จิวเวลรี่ดูเด่นขึ้นมาได้ แนวทางที่ดีที่สุดคือ เลือกใส่จิวเวลรี่ชิ้นใหญ่ที่มีสีสัน อย่างประการังหรือเทอร์ควอยซ์กับเสื้อผ้าโทนขาว-ดำ  ข้อควรระวังสำหรับจิวเวลรี่ชิ้นใหญ่ก็คือ อย่าประโคมใส่จิวเวลรี่ทั้งตัว หากเลือกจะใส่กำไลและสร้อยคอ อย่าหยิบต่างหูกับแหวนมาใส่อีก เพราะจะทำให้ดูเหมือนกับกรุสมบัติเคลื่อนที่
เคล็ดลับการใส่แหวนคอกเทลให้ดูเด่นก็คือ ใส่เพียงแค่แหวนอย่างเดียว เพื่อไม่ให้จิวเวลรี่ชิ้นอื่นดึงดูดความสนใจไปแทน และที่สำคัญก็คือ จิวเวลรี่ที่มีขนาดพลอยใหญ่มีน้อยคนที่เชื่อว่าเป็นของจริง

อย่าเชื่อถ้าใครๆบอกว่า ไม่ควรใส่จิวเวลรี่ที่เป็นงานโลหะต่างชนิด เพราะเดี๋ยวนี้เราสามารถนำมา mix and match กันได้ ขอแค่เพียงรู้จักเลือกดีไซน์ที่ไปในทิศทางเดียวกัน ตัวอย่างของการผสมผสานที่ได้ผลก็คือ การจับสร้อยคอสีทองมาใส่กับสร้อยคอสีเงินให้เป็นชั้นๆ

sarah jessica parkerJoanna PageAshlee Simpson

เลือกความยาวของสร้อยคอให้เหมาะกับดีไซน์ของเสื้อผ้า ก่อนอื่นควรจะเรียนรู้ประเภทสร้อยคอกันก่อน ซึ่งจำแนกโดยใช้ความยาว
Collar ดูดีเมื่อใส่กับเสื้อคอวี คอปาด หรือเกาะอก โดยเลือกแบบที่ใส่แล้วอยู่ตรงกลางลำคอพอดี
Choker จะดูสวยที่สุดเมื่อใส่กับเกาะอก หรือชุดผ่าหน้าคว้านคอลึก
Princess  สามารถใส่ได้กับเสื้อผ้าหลากหลายดีไซน์ แต่หากต้องการปรับลุคให้ดูน่ารักให้เพิ่มจี้ลงไปและใส่กับเสื้อคอวี
Matinee ไม่เหมาะที่จะใส่กับชุดผ่าหน้า หรือคว้านคอลึก เพราะความยาวของสร้อยที่อยู่ในระดับพอดีกับเนินอก จะทำให้ทุกสายตามุ่งความสนใจไปที่หน้าอกของคุณจนเกินไป
Opera / Rope เหมาะที่สุดกับเสื้อคอเต่า สามารถดัดแปลงให้กลายเป็นสร้อยคอระย้าหลายๆชั้นได้ด้วย

นอกจากนี้แล้วพึงระลึกเสมอว่า จิวเวลรี่ก็เหมือนเสื้อผ้า ที่ผู้สวมใส่จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับวัยและรูปร่าง

  • ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณคอ  ควรจะเลือกใส่สร้อยคอเส้นยาวมากกว่าที่จะเลือกใส่choker เพราะจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากคอได้
  • หากคุณมีลำคอที่ใหญ่และกว้าง ควรเลือกสร้อยที่ดีไซน์ตรงกลางใหญ่กว่าปลายทั้งสองด้าน เพื่อช่วยสร้างสมดุลให้คอดูเรียวขึ้น ตัวอย่างของสร้อยคอแบบนี้คือ แบบที่ Joanna Page ใส่ในรูปที่ 2
  • สำหรับผู้ที่ลำคอยาว และผอม ต้องพรางด้วยการใส่สร้อยคอยาว 3 เส้น โดยให้เส้นที่สั้นที่สุดอยู่ตรงกับฐานลำคอ และไม่ควรใส่สร้อยที่มีดีไซน์เป็นรูปตัววี (V)

อ้างอิง : Red Carpet Styles

9/29/2551 | Posted in , | Read More »

Celebrity style to steal : easy mix and match

วันนี้ขอแอบขโมยสไตล์การแต่งตัวของบรรดาเซเลบมาประยุกต์เข้ากับการแต่งตัวของเรา โดยคอนเซปส์ในครั้งนี้ก็คือ easy to mix and match ซึ่งถ้าหยิบของพวกนี้มาใส่เมื่อไหร่ รับรองว่าจะดูเก๋ขึ้นมาเลยทีเดียว แบบที่เลือกมาสามารถประยุกต์เข้ากับเสื้อผ้าได้หลายสไตล์ ตั้งแต่ติดดินไปจนถึงหรูหรา ถ้าใครกำลังมองหาจิวเวลรี่ที่สามารถใส่ได้เรื่อยๆ แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกแบบไหนดี แนะนำให้ลองพิจารณาแบบพวกนี้ดู เพราะคลาสสิคแต่ไม่ล้าสมัย หยิบมาใส่ได้ไม่มีเบื่อแน่นอน

  

ต่างหูห่วง เข้ากับเสื้อผ้าได้ทุกสไตล์ และใช้ได้ง่ายที่สุด  เพื่อความเก๋ไม่เหมือนใคร แนะนำให้เลือกแบบที่เป็น two-tone หรือเป็นทรงแบนขัดเงาสไตล์ retro ไม่จำกัดว่าจะเลือกเป็นห่วงกลมเท่านั้น เพราะต่างหูแบบนี้ดีไซน์ออกมาหลายรูปทรง แต่ห่วงกลมจะไม่น่าเบื่อและใช้ง่ายกว่าทรงอื่นๆ

 

ต่างหูเพชร หรือพลอยเม็ดเดี่ยว นอกจากจะเป็นจิวเวลรี่ของสาวๆแล้ว ผู้ชายก็หยิบมาใช้ได้เช่นกัน อย่างDavid Beckham เพชรรูปสี่เหลี่ยมแบบนี้ถือเป็นชิ้นโปรดของเค้าเลย

 

สร้อยคอระย้า ทำให้เสื้อผ้าเรียบๆดูมีสไตล์ขึ้นมาได้ในทันที เพื่อความคุ้มค่าแนะนำให้เลือกใช้สร้อยเส้นยาว เพราะอยากจะเนรมิตเป็นสร้อยระย้ากี่ชั้น จะยาวหรือสั้นก็ทำได้ ให้ดูมีสไตล์มากไปกว่านั้นก็คือ หยิบเอาสร้อยคอที่มีอยู่มา mix and match เข้าด้วยกัน อย่างที่เห็นในภาพ บางทีอาจไม่ต้องเสียเงินซื้อสร้อยคอเพิ่มอีกนาน

  

กำไล หรือสร้อยข้อมือลายสาน แทนที่จะหยิบชิ้นงานเรียบๆ หรือชิ้นงานที่มีดีไซน์มากๆ เพียงแค่เพิ่มดีเทลของลายสานลงไปก็ทำให้ดูมีสไตล์ขึ้นมาได้ และยังใช้งานได้หลากหลายตามคอนเซปส์ที่ตั้งไว้

การเลือกจิวเวลรี่มาใช้ ไม่จำเป็นจะต้องราคาแพงหรือต้องเลือกตามแบบที่กำลังเป็นที่นิยมเสมอไป ขอให้เหมาะกับสไตล์ของเรา และทำให้รู้สึกว่ามั่นใจที่จะใส่ก็จะช่วยสร้างเสริมบุคลิกที่ดีได้ เพียงแต่การหาความรู้เกี่ยวกับสไตล์หรือแฟชั่นเป็นไกด์ไลน์ อย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถนำสิ่งที่เรามีอยู่มาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายขึ้น หรือช่วยในการตัดสินใจที่จะซื้อหรือใช้ได้อย่างคุ้มค่า

รูปเครื่องประดับจาก : Appassionata, Vesace, Monet, Lalph Lauren

9/28/2551 | Posted in , , | Read More »

Free Gemological Information

 

gemonline

แม้ว่าหน้าตาของ GemologyOnline.com จะไม่สวยงามเหมือนเวบอัญมณีและเครื่องประดับทั่วไป แต่ก็อัดแน่นไปด้วยสาระ ซึ่งเป้าหมายของเวบนี้ก็คือ การสร้างความเข้าใจระหว่างมนุษย์กับอัญมณี! นอกจากจะได้รับความรู้ทางด้านอัญมณีศาสตร์แล้ว ยังได้ศึกษาประวัติและตำนานของอัญมณีต่างๆไปด้วย และที่น่าสนใจมากๆก็คือ ที่นี่เป็นแหล่งรวม gemologist จากทั่วโลก ที่สามารถร่วมพูดคุย ตอบคำถาม และให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอัญมณีและเครื่องประดับ หรือถ้าคุณกำลังมองหาหนังสือเกี่ยวกับอัญมณีและเครื่องประดับ ที่นี่ก็รวบรวมรายการหนังสือไว้ให้มากมาย และสามารถสั่งซื้อผ่าน Amazon.com ได้ทันที  เวบนี้น่าจะรับประกันความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้มาก เนื่องจากผู้สร้างเวบมีดีกรี gemologist จากหลายสถาบัน และยังผ่านงานด้านอัญมณีและเครื่องประดับมานานกว่า 30 ปีแล้ว

bannerGemclub

9/26/2551 | Posted in , | Read More »

การวัดขนาดแหวน

BJ0009R 

การวัดขนาดนิ้วสวมแหวนนั้น สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้

วิธีแรก
1. นำเชือก หรือ ลวดมัดถุงขนมปัง มาพันรอบ ๆ นิ้วที่คุณต้องการ
2. ควรวัดที่ขนาดของข้อนิ้ว ในกรณีที่ข้อนิ้วใหญ่
3. วัดขนาดเชือก หรือ ลวดที่วัดได้เป็นมิลลิเมตร แล้วลบ 6

ตัวอย่างเช่น : วัดขนาดได้ 56 มิลลิเมตร ลบด้วย 6 จะได้ขนาดของแหวน คือ 50

วิธีที่สอง
1. เลือกแหวนที่ใส่พอดีกับนิ้วที่จะวัดขนาด
2. วัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและเทียบตามตารางดังนี้

mm. 15.3 15.6 16 16.5 17 17.2 17.5 17.8 18 18.5 18.8 19 20
Size 48 49 50 52 53 54 55 56 57 58 59 60 63

***ลองทำทั้งสองวิธีแล้วเอามาเทียบกันดูนะคะ***

สนับสนุนบทความโดย  2Be Jewellery 

GemClub CMU. - Members Registration

9/24/2551 | Posted in , | Read More »

478 carat diamond

478 carat

ข่าวล่าสุดของการค้นพบเพชรเม็ดยักษ์ ถูกค้นพบที่เหมือง Letseng ในประเทศเลโซโท แอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท Gem Diamond น้ำหนักของเพชรเม็ดนี้อยู่ที่ 478 กะรัต ถือเป็นเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไน (rough diamond) ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 20 ของโลก โดยเพชรขนาดใหญ่ที่สุด คือ Cullinan มีน้ำหนัก 3,106 กะรัต ถูกค้นพบในปี 1905

บริษัท Gem Diamonds ได้ออกมาชี้แจงว่าเพชรเม็ดนี้สามารถเจียระไนให้เป็นเพชรเม็ดกลมขนาด 150 กระรัต ทำลายสถิติเพชรเจียระไนที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งปัจจุบันคือเพชร Koh-i-noor ที่ประดับอยู่บนมงกุฎราชวงค์อังกฤษ สำหรับมูลค่าของเพชรเม็ดนี้คาดว่าจะมีสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์

ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ตรวจสอบเพชรก้อนนี้บอกว่า มีศูนย์กลางที่ไม่มีตำหนิ ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงมาก ที่เมื่อเพชรได้รับการเจียระไนแล้วจะได้เพชรกลมขนาด 100 กะรัต สี ดี-คัลเลอร์ ซึ่งเป็นระดับขาวที่สุดของเพชร และไร้รอยตำหนิภายในเนื้อเพชรซึ่งจะเป็นเม็ดแรกในประวัติศาสตร์

เหมืองเพชรที่ค้นพบก้อนเพชรยักษ์ครั้งนี้เป็นเหมืองที่อยู่สูงที่สุดในโลก ซึ่ง De Beers เคยเป็นเจ้าของ และเพชร 3 เม็ดที่ใหญ่ที่สุดของโลก ค้นพบในเหมืองแห่งนี้ ทั้ง Lesotho Promise ขนาด 603 กะรัต Letseng Legacy ขนาด 493 กะรัต และ Lesotho Brown ขนาด 601 กะรัต

อ้างอิง : BBC News, Novosti

GemClub CMU.-Members Registration

9/23/2551 | Posted in , | Read More »

Members Registration : ลงทะเบียนชาวอัญมณี มช.

ขอเชิญนักศึกษาอัญมณีวิทยา มช. ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันร่วมลงทะเบียนประวัติในแบบฟอร์มด้านล่างนี้ หรือที่ GemClub CMU. Members Registration โดยข้อมูลทั้งหมดจะเข้าถึงได้เฉพาะสมาชิกที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของสมาชิก
(ท่านที่ลงทะเบียนแล้ว จะได้รับอีเมล์เชิญให้ใช้บริการ GemClub CMU. - Members only!)

9/22/2551 | Posted in , | Read More »

Gold Investment : ทำไมจึงควรลงทุนใน Gold Futures

จากความร่วมมือระหว่าง TFEX กับ ม.ธรรมศาสตร์โดยมี ศ.ดร.พรชัย ชุณหจินดา และ รศ.กุลภัทรา สิโรดม อาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มาเป็นที่ปรึกษา ผลของงานวิจัยที่น่าสนใจก็คือ คือผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในตลาดทอง ตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นเอเชีย ด้วยต้นทุน 1 บาท ถือครองนาน 16 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1991-2007 โดยได้ผลตอบแทนรวมกับต้นทุน ดังนี้ ในตลาดหุ้นไทยเงินเหลือเพียง 0.55 บาท ตลาดหุ้นโลกได้ 2.88 บาท ตลาดหุ้นเอเชีย ได้ 2.62 บาท และตลาดทองคำได้ 2.10 บาท และเมื่อดูจากสถิติของราคาในช่วง 16 ปีให้หลังนั้น ทองคำเป็นสินค้าที่ราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมาก เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่เคลื่อนไหวแบบผันผวนมาโดยตลอดในระยะเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้เมื่อทางทีมวิจัยของม.ธรรมศาสตร์ทดลองตั้งพอร์ตการลงทุนที่สมมติขึ้นจากความเป็นมาของตลาดหุ้นและตลาดทุนไทยในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา อย่างเช่น ตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม ยางพารา เงินฝากประจำ โดยการทดลองดังกล่าว จะแยกออกเป็นหลายกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะแยกออกเป็นสองพอร์ต คือ พอร์ตที่มีการลงทุนในตลาดทองคำควบคู่กับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ กับพอร์ตการลงทุนที่เหมือนกันแต่ไม่มีการลงทุนในทองคำ สำหรับผลสรุปจากการทดสองส่วนใหญ่ พอร์ตที่มีทองคำจะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนสูงกว่าพอร์ตที่ไม่มีทองคำอย่างชัดเจน


ข้อดีของ Gold Futures
ศ.ดร.พรชัย ได้เผยถึงข้อดีที่นักลงทุนควรเข้ามาลงทุนใน Gold Futures ดังนี้
1. การซื้อขาย Gold Futures จะเป็นตลาดที่มีมาตรฐาน เพราะรายละเอียด กฏระเบียบต่างๆ ควบคุมด้วย ก.ล.ต. ซึ่งหากนักลงทุนไปลงทุนในตลาดทองคำจริงจะมีมาตรฐานของแต่ละร้านไม่เท่ากัน
2 .Gold Futures จะใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการลงทุนในตลาดจริง ซึ่งมองว่าเงินประกันที่นักลงทุนจะใช้น่าจะไม่เกิน 15% ของมูลค่าสินค้า ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวต้องรอ ก.ล.ต. ประกาศอย่างเป็นทางการก่อน
3.การซื้อขาย Gold Futures จะมีสำนักหักบัญชีคอยควบคุมพอร์ตของนักลงทุน จึงมั่นใจได้ว่าจะมีคนคอยรับผิดชอบพอร์ตการลงทุน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง
4.Gold Futures เป็นธุรกรรมที่เปิดได้ 2 ทางคือ ทั้งซื้อ-ขาย เหมือนกับการลงทุนในตลาดล่วงหน้าทั่วไป ซึ่งจะช่วยประกันความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการร้านทองได้ในระดับหนึ่ง หากศึกษาอย่างเข้าใจ
5. Gold Futures จะลดปัญหาในการเก็บรักษาสินค้า

ติดตามสถานการณ์ของ Gold Future ณ 22 ก.ย. 51

อ้างอิง : eFinacneThai

Let'share**เชิญเขียนบทความไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือต้องการแชร์ประสปการณ์ ส่งมาทาง gemclubcmu.post@blogger.com เรายินดีต้อนรับบทความของทุกท่านค่ะ**

Click to 2Be Jewellery ร้านจิวเวลรี่ออนไลน์ บริหารโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญในวงการจิวเวลรี่

9/22/2551 | Posted in , | Read More »

Gold Investment : Gold Futures

สำหรับผู้ที่มีความรู้ทางด้านการเงินหรือเศรษฐศาสตร์มาบ้าง อาจจะพอเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องตราสารอนุพันธ์ (Derivative) ซึ่งบทความต่อไปนี้จะเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่าง การลงทุนในทองคำ กับการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่เรียกว่า Gold Futures หรือการซื้อขายทองคำผ่านตลาดล่วงหน้า ซึ่งควรจะทำการศึกษาไว้ค่ะ เนื่องจากทางตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย (TFEX) จะนำมาซื้อขายในปี 2552 สำหรับสินค้าทองคำตัวนี้ จะเป็นสินค้าลำดับที่ 3 ต่อจาก SET50 Futures และ SET50 Options

สำหรับผู้ที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าตราสารอนุพันธ์คืออะไร จะขออธิบายสั้นๆก่อนค่ะ
ตราสารอนุพันธ์ (derivative) เป็นสินทรัพย์ทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ futures, forward, swap, options เป็นต้น สินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้ ได้แก่ เงินตราต่างประเทศ พันธบัตร ตั๋วเงิน หุ้นสามัญ สินค้าโภคภัณฑ์ (commodity เช่น น้ำมัน ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง เป็นต้น) หรือทรัพย์สินใดๆ เป็นต้น

Gold Futures เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรืออนุพันธ์ที่อ้างอิงกับทองคำ 96.5% มิใช่การซื้อขายทองคำจริง การซื้อขายเป็นการทำสัญญากันเท่านั้น ยังไม่มีการซื้อขายสินค้าจริงเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี การชำระเงินที่เกิดขึ้นในวันที่ตกลงซื้อขาย เป็นการเรียกเก็บเงินประกันเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับกำไร หรือขาดทุนเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับเงินประกันที่วางไว้ นับเป็นสินค้าที่มี Leverage (อัตราร้อยละการเปลี่ยนแปลงของกำไรสุทธิต่ออัตราร้อยละการเปลี่ยนของยอดขาย ยกตัวอย่าง Leverage ที่มีค่าเท่ากับ 1 หมายถึง เมื่อยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1% เท่าๆกัน) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างกับการซื้อขายทองคำจากร้านค้าทอง และเป็นกติกาสากลของการซื้อขายฟิวเจอร์สทุกประเภท ฟิวเจอร์สนี้มีทั้งรูปแบบที่มีการส่งมอบทองคำหรือจะชำระราคาเป็นเงินสดเมื่อครบกำหนดสัญญา อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติของการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศนั้น ผู้ซื้อผู้ขายจะใช้การปิดสถานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Offset position) แทนการส่งมอบจริง ทั้งนี้ ลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาอนุพันธ์มักมีความผันผวนสูงกว่าราคาของสินค้าที่อ้างอิง คุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งของ Gold Futures คือ มีอายุสัญญาที่จำกัด เช่น 1, 2, 3, 6, 12 เดือน ไม่สามารถถือครองเป็นการลงทุนระยะยาว แต่สามารถใช้เพื่อบริหารความเสี่ยง กระจายความเสี่ยง หรือ Arbitrage (การซื้อและขายเงินตราในเวลาเดียวกัน เพื่อหากำไรจากส่วนต่างระหว่างอัตราแลกเปลี่ยน หรืออาจเป็นการซื้อขายเงินตราโดยมุ่งหากำไรจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยในตลาดต่างๆ) และการเก็งกำไร

ในขณะที่คุณลักษณะของทองคำไม่ว่าทองรูปพรรณหรือทองคำแท่งเป็นสินทรัพย์ที่เรียกว่า Real asset ไม่ใช่สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ผู้ซื้อต้องจ่ายเงินทันทีตามมูลค่าของทองคำทั้งจำนวน เช่น ซื้อทอง 1 เส้น หนัก 1 บาท หรือซื้อทองแท่งหนัก 10 บาท ผู้ซื้อต้องเตรียมเงินเท่ากับมูลค่าของทองคำเพื่อชำระแก่ผู้ขาย ผู้ขายได้รับเงินพร้อมๆ กับส่งมอบทองคำตามมูลค่าข้างต้นให้กับผู้ซื้อ ผู้ซื้อก็สามารถถือครองทองคำของตนไว้ตราบนานเท่านานตามที่ต้องการ เพื่อประโยชน์ในการเป็นเครื่องประดับ หรือเก็บสะสมเพื่อลูกหลาน หรือเพื่อลงทุน และอาจนำออกขายเมื่อเห็นว่ามีระดับราคาเหมาะสม

จากคุณสมบัติข้างต้น ส่งผลต่อกลุ่มผู้ลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขาย Gold Futures โดยจะเป็นกลุ่มผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ รวมทั้งต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำและขบวนการทำงานของการซื้อขายอนุพันธ์ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายนี้ คือ ผู้ที่ลงทุนในตลาดอนุพันธ์และตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว แต่ผู้ลงทุนในทองคำจริงนั้นเป็นประชาชนทั่วไป ทั้งที่มีรายได้มากหรือน้อยที่นิยมซื้อทองคำเก็บสะสมไว้เพื่อการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะเกี่ยวกับทองคำ หรืออนุพันธ์ การซื้อขายสามารถต่อรองโดยตรงกับร้านค้าทองที่มีอยู่ทั่วประเทศ

Gold Futures เป็นการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ที่ต้องทำผ่านบริษัทสมาชิกของตลาดที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการซื้อขาย เป็นไปตามกฎหมายที่ควบคุมการประกอบธุรกิจนี้ โดยมี ก.ล.ต. เป็นหน่วยงานกำกับดูแล ในปัจจุบันสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ประกอบด้วยบริษัทหลักทรัพย์และสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. โดยตลาดอนุพันธ์เปิดกว้างในการรับสมาชิกโดยมิได้มีการจำกัดจำนวน หากว่าผู้สมัครนั้นมีคุณสมบัติตามที่กำหนด สมาชิกจะส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าเข้าสู่ระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ เพื่อรอการจับคู่ตามหลัก ราคาและเวลาที่ดีที่สุด (Price and Time Priority) รายการซื้อขายที่เกิดขึ้นนี้ต้องมีทั้งผู้เสนอซื้อและผู้เสนอขาย ราคาซื้อขายที่เกิดขึ้นในตลาดอนุพันธ์ ก็เฉกเช่นเดียวกับตลาดหุ้น มีการเคลื่อนไหวระหว่างวันตามความต้องการซื้อต้องการขายในตลาด ตลาดอนุพันธ์ได้เผยแพร่ข้อมูลการซื้อขาย ผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อผู้ลงทุน ได้แก่ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เวบไซต์ และผู้ให้บริการด้านข่าวสารต่างๆ เช่น Reuters, Bloomberg, Bisnews, Nextview เป็นต้น

การซื้อขายทองคำจริงนั้น เป็นไปในลักษณะที่ผู้ลงทุนต่อรองโดยตรงกับร้านค้าทองที่ทำหน้าที่คล้าย Dealer คือ เป็นผู้ขายให้แก่ผู้ลงทุน และเป็นผู้ซื้อด้วยเมื่อผู้ลงทุนนำทองคำกลับไปขายให้ ผู้ลงทุนสามารถเลือกร้านทองได้ตามความสัมพันธ์หรือความชอบส่วนตัว ราคาก็เป็นไปตามที่ต่อรองตกลงกันเอง ผู้ประกอบการเป็นร้านทองนั้นเป็นนิติบุคคลทั่วไปที่ยื่นขอจดทะเบียนต่อกระทรวงพาณิชย์เพื่อประกอบธุรกิจ

สำหรับผู้ซื้อขาย Gold Futures ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการซื้อขายที่เรียกว่า ค่าคอมมิชชั่น ให้กับบริษัทสมาชิกหรือโบรกเกอร์ที่เป็นตัวแทนการซื้อขายของตน ซึ่งคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายต่อสัญญาที่ซื้อขาย ซึ่งผู้ลงทุนสามารถต่อรองค่าใช้จ่ายส่วนนี้กับโบรกเกอร์เองได้ สำหรับการซื้อขายทองคำจากร้านค้าทองในประเทศไทยนั้น เป็นไปในลักษณะ Spread คือ มีส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย ราคารับซื้อจะถูกกว่าราคาขาย ซึ่งเป็นไปตามราคาที่ประกาศหน้าร้าน ส่วนต่างนี้คือต้นทุนการซื้อขายของผู้ลงทุน

การชำระราคาของ Gold Futures เป็นไปตามหลักการเดียวกับตลาดอนุพันธ์ทั่วโลก โดยมีการคำนวณกำไรขาดทุน จากการถือสถานะของผู้ลงทุน (Mark-to-Market) ทุกวัน ซึ่งหากมีกำไรจากการถือสถานะผู้ลงทุน ก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีในวันทำการถัดไป แต่หากขาดทุนก็จะถูกหักเงินจากบัญชี และหากขาดทุนเป็นจำนวนมาก ก็มีความเสี่ยงที่จะต้องนำเงินประกันมาวางเพิ่มเติม ซึ่งเป็นหลักการที่แตกต่างจากการซื้อขายทองคำจากร้านค้าทอง หรือในตลาด Spot ที่การซื้อขายเป็นการซื้อขายขาด จ่ายชำระเงินเต็มตามจำนวนแล้วได้รับทองคำไปตามที่ชำระเงิน ผู้ซื้อสามารถเก็บทองคำไว้ตามความต้องการและนานเท่าที่ต้องการ ไม่มีกำไรขาดทุนจนกว่าจะมีการขายออกไปจริง

โดยสรุปแล้ว Gold Futures และทองคำที่ซื้อขายที่ร้านค้าทองเป็นสินค้าคนละประเภท Gold Futures จะซื้อขายผ่านสมาชิกของตลาดอนุพันธ์มิได้เสนอขายทองคำจริงเพื่อแข่งขันกับร้านทองปลีก ซึ่งเป็นไปกับหลักการเดียวกับการซื้อขาย ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เช่น การซื้อขายสัญญายางพาราล่วงหน้า สัญญาข้าวล่วงหน้านั้น มิใช่เป็นการซื้อขายยางพารา มิใช่เป็นการซื้อขายข้าว เพื่อแข่งขันกับผู้ค้ายางพารา โรงสีข้าว กลุ่มผู้ลงทุนมีความแตกต่างกัน โดยลักษณะธรรมชาติแล้ว Gold Futures มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในทองคำจริง รวมถึงมีกระบวนการซื้อขายที่แตกต่างกัน ผู้ลงทุนใน Gold Futures ย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกับผู้ลงทุนในทองคำ แม้ว่ากลุ่มผู้ลงทุนทั้งสองนั้นอาจมีความทับซ้อนบ้าง ดังเช่นในกรณีของผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ก็เป็นผู้ลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตลาดพันธบัตร ตลาดทองคำ หรือตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ลงทุนจะเลิกลงทุนในตลาดสินค้าทันที (Spot) หรือทองคำ แล้วหันมาลงทุนในตลาดอนุพันธ์แต่เพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ ข้อมูลของตลาดต่างประเทศยังพบว่าการจัดให้มีการซื้อขายอนุพันธ์ไม่ว่าจะเป็นที่อ้างอิงกับตราสารหุ้น พันธบัตร หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ก็มิได้ส่งผลกระทบทางลบต่อตลาดซื้อขายสินค้าอ้างอิงแต่อย่างใด โดยความสัมพันธ์ของตลาดทั้งสอง จะเป็นไปในลักษณะเกื้อกูลกันมากกว่า เนื่องจากอนุพันธ์เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมให้การลงทุนในสินค้าอ้างอิง มีประสิทธิภาพมากขึ้น (Complimentary product) มิใช่เพื่อนำมาทดแทน (Substitute product) ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปริมาณการซื้อขายของทั้งสองตลาดจะเติบโตไปด้วยกัน ดังจะเห็นได้จากปริมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ นับจากที่เริ่มให้มีการซื้อขาย SET50 Index Futures ก็มิได้ลดลงแต่อย่างใด

ส่วนเหตุผลที่นักลงทุนควรจะเข้ามาลงทุนใน Gold Futures จะนำมาเสนอในคราวหน้า พร้อมกับผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงความเป็นไปได้ในการนำ Gold Futures เข้ามาในตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทยค่ะ

อ้างอิง : NIDA MBE, eFinanceThai.com

Let'share**เชิญเขียนบทความไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือต้องการแชร์ประสปการณ์ ส่งมาทาง gemclubcmu.post@blogger.com เรายินดีต้อนรับบทความของทุกท่านค่ะ**

Click to 2Be Jewellery ร้านจิวเวลรี่ออนไลน์ บริหารโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญในวงการจิวเวลรี่

9/20/2551 | Posted in , | Read More »

Gold Investment : แปลงน้ำหนัก&คิดราคาทอง

การแปลงน้ำหนักทองคำ
ทองคำ ความบริสุทธิ์ 96.5%

ทองรูปพรรณ 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
ทองคำแท่ง 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
ทองคำ ความบริสุทธิ์ 99.99%
ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์
ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม

การคิดราคาทองของสมาคมค้าทองคำ
การตั้งราคาทองนั้นอ้างอิงจาก 2 ปัจจัยหลักก็คือ Goldspot และค่าเงินบาท

Goldspot คือ ราคาทองเมืองนอก
โดยราคาทองที่เห็นนี้จะมีหน่วยเป็นเงินดอลล่าร์ ราคาทองจะวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง โดยมีแรงซื้อขายจากตลาดทั่วโลก กราฟทองตัวนี้จึงมีความจำเป็นสำหรับการดูทิศทางราคาทองคำของนักลงทุนทองคำ

+ USD - THB คือ ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลล่าร์ เมื่อราคาทองใช้เงินสกุลดอลล่าร์เป็นหลัก เมื่อจะแปลงราคามาเป็นราคาในเมืองไทย จึงต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าร์ มาตีเป็นราคาซื้อขายในเมืองไทยอีกที

สูตรคำนวณราคาทองไทย = (spot gold+1) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729

Let'share**เชิญเขียนบทความไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือต้องการแชร์ประสปการณ์ ส่งมาทาง gemclubcmu.post@blogger.com เรายินดีต้อนรับบทความของทุกท่านค่ะ**

9/19/2551 | Posted in , | Read More »

Gold Investment : เริ่มต้นซื้อ-ขายทองคำ

bar-Gold01

การลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นก่อนจะไปถึงขั้นตอนของการซื้อขาย ต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นกันก่อน

Q การซื้อขายทองคำมีการส่งมอบทองคำกันจริงๆ หรือเป็นแค่สัญญาซื้อขายกันลอยๆ
A การตกลงซื้อขาย ส่งมอบทองคำและชำระราคากันจริงๆ แต่ปัจจุบันมีผู้สนใจลงทุนซื้อเป็นทองคำแท่งมากขึ้น แต่ติดปัญหาเรื่องการจัดเก็บ เพราะไม่สะดวก และไม่ปลอดภัยเพียงพอ แหล่งรับซื้อ-ขายทองคำบางแห่งจึงใช้ “ใบรับฝากทอง” แทนที่จะมารับทองคำจริงๆ และนำกลับไปเก็บ โดยใบรับฝากทองที่ออกจะเป็นในนามบริษัท ซึ่งเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกทองคำโดยตรง

Q การซื้อขายทองคำมีการกำหนดราคาจากที่ใด
A สมาคมค้าทองคำ

Q ในการลงทุนควรจะซื้อทองชนิดไหน
A ทองคำในการลงทุนมี 2 ชนิด คือ 96.5% และ 99.99% ซึ่งจะเลือกซื้อแบบใดขึ้นกับลักษณะความต้องการในการลงทุน โดยปกติแนะนำให้ซื้อ 96.5% เนื่องจากเป็นทองคำมาตรฐานของไทย แต่หากต้องการซื้อเพื่อการผลิตหรือขายไปต่างประเทศก็ควรเป็นทองคำ 99.99% ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อออมควรเป็นทองคำ 96.5% เพราะมีราคาแจ้งประกาศอย่างเป็นทางการ มั่นใจได้ว่าไม่ถูกโกง

Q การลงทุน 9999 กับ 965 อย่างไหนดีกว่า
A การลงทุนใน 9999 จะซื้อขายกันที่ขั้นต่ำ 1 กิโลกรัม จึงต้องใช้เงินลงทุน 1 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย ในขณะที่ 965 ซื้อขายที่ขั้นต่ำ 1 บาท และสามารถตรวจสอบราคาที่แน่นอนได้จากสมาคมค้าทองคำ ในแง่ของผลกำไร ทอง 9999 ให้ผลกำไรที่ดีกว่า แต่อาจจะไม่มีสภาพคล่องดีเท่ากับ 965 เนื่องจากร้านทองเล็กๆอาจจะไม่มีเงินรองรับพอ สรุปคือ ผู้เริ่มลงทุนควรจะลงทุนในทอง 965 ก่อน

Q อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำขึ้นลง
A ราคาทองคำในไทยจะขึ้นกับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ ราคาทองคำตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาทองคำในไทยจะเพิ่มขึ้นเมื่อราคาทองคำตลาดโลกเพิ่ม และเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

Q สิ่งที่ควรทราบสำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไร มีอะไรบ้าง
A การลงทุนเพื่อเก็งกำไร สิ่งสำคัญที่ควรทราบ คือ 3E ได้แก่
Excess money คือ มีเงินเหลือ และต้องทราบว่าจะแบ่งเงินออมกี่เปอร์เซนต์ มาลงทุนในทองคำ ซึ่งจำนวนเงินที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 10% ต่อการซื้อ-ขายหนึ่งครั้ง เพื่อกระจายความเสี่ยงและควบคุม Port การลงทุนให้เหมาะสม
Experince คือ ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนทองคำให้เพียงพอก่อนที่จะเริ่มซื้อ-ขาย อย่างน้อย 1 เดือน
Education คือ ต้องศึกษาหาข้อมูลด้วยตนเอง

Q ข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนในทองคำ เปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ
A (1) การลงทุนในธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงิน มีความเสี่ยงน้อย แต่ได้ผลตอบแทนที่ต่ำ
(2) การเล่นหุ้น มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยเฉลี่ยผลตอบแทนจากการเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 5-7%
(3) การลงทุนในทองคำ เหมาะที่จะลงทุนเนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาค่อนข้างแน่นอน สามารถกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ สภาพคล่องสูง ซึ่งตามหลักการบริหารพอร์ตทั่วไปควรลงทุนในทองคำประมาณ 5 - 10 % ของการลงทุนทั้งหมด ส่วนประชาชนทั่วไปควรลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ ประกอบกับขณะนี้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้นจึงเป็นช่วงที่เหมาะแก่การลงทุนที่สุด แต่ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงควรติดตามและศึกษาข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

Q การซื้อขายทองคำแท่ง หากลูกค้ามีกำไรที่เกิดจากการขายทองคำแท่ง จะมีการเรียกเก็บภาษีจากสรรพากรหรือไม่
A ไม่มีเนื่องจากทองคำแท่งจัดเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้เช่นเดียวกับ รถยนต์ จึงไม่มีการเรียกเก็บภาษีแต่อย่างใด

คราวหน้ามาศึกษาวิธีการแปลงน้ำหนักทองคำ และการตั้งราคาทองของสมาคมค้าทองคำกันค่ะ

ข้อมูลจาก : ห้างทองแม่ทองสุก, Ausiris Gold Investment, สมาคมค้าทองคำ, ชมรมนักลงทุนทองคำ

Let'share**เชิญเขียนบทความไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือต้องการแชร์ประสปการณ์ ส่งมาทาง gemclubcmu.post@blogger.com เรายินดีต้อนรับบทความของทุกท่านค่ะ**

9/18/2551 | Posted in , | Read More »

แนะนำเวบไซต์ jewelinfo4u.com

jewelinfo4u

jewelryinfo4u.com มีเนื้อหาที่น่าสนใจแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ชัดเจน ทั้งข้อมูลทางวิชาการ ประวัติศาสตร์ การผลิตเครื่องประดับ อัพเดตเกี่ยวกับแฟชั่น การเลือกซื้อพลอย การดูแลรักษาเครื่องประดับ ที่ดีมากๆก็คือข้อมูลทางวิชาการที่อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาอัญมณีแบบเจาะลึก สำหรับนักศึกษาก็เหมือนได้อ่านสรุปเนื้อหาวิชาที่ได้เรียน แนะนำให้ลองเข้าไปเยี่ยมชมดูค่ะ

9/16/2551 | Posted in , | Read More »

"The Universe of Jewelry Star"

บางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ ครั้งที่ 42
ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี
วันที่ 11 - 15 กันยายน 2551

ความตระการตาของอัญมณีและเครื่องประดับ จะปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง ในงาน "บางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ ครั้งที่ 42" (The 42nd Bangkok Gems and Jewelry Fair) ซึ่งกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กำหนดจัดในวันที่ วันที่ 11-15 ก.ย. นี้ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานีบนพื้นที่กว่า 80,000 ตารางเมตร กว่า 3,000 คูหา
นายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหารโครงการบางกอก เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ กล่าวในการแถลงข่าว ซึ่งนายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เป็นประธาน ณ โรงแรมโอเรียนเต็ล ว่างานครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Thailand The World's Gem & Jewelry Hub" ศูนย์กลางอัญมณีโลก เนื่องมาจากต้องการแสดงให้เห็นคุณค่าแห่งหินอัญมณีที่ผสานกับฝีมือและความประณีตของช่างไทยจากรุ่นสู่รุ่นทำให้เห็นความงดงามจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยนวันเปิดงานจะแต่งธีมงานเป็นจักรวาลแห่งดวงดาว "The Universe of Jewelry Star" เปรียบอัญมณีเหมือนเหล่าดวงดาวที่โคจรในอวกาศ ที่ใช้เวลาในการถือกำเนิดและรวมกันเป็นจักรวาลที่จะคงอยู่ต่อไป เพื่อเปล่งประกายความงามแห่งอัญมณี
"ในงานยังเปิด Design Pavilion จัดแสดงชิ้นงานนักออกแบบจากทั่วโลก รวมถึงชิ้นงานของคนไทยที่คว้ารางวัลในระดับโลก และยังเตรียม 12 นักออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับ ให้บริการออกแบบฟรี และถือโอกาสนี้เปิดตัว International Jewelry Awards 2009 การจัดประกวดออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับครั้งแรกในประเทศไทย เปิดโอกาสให้นักออกแบบจากทั่วโลกส่งผลงานเข้าประกวดด้วย"

9/13/2551 | Posted in , | Read More »

42nd Bangkok Gems & Jewelry Fair

มีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจในงานมานำเสนอค่ะ สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่

9/12/2551 | Posted in , | Read More »

ความคิดเห็นล่าสุด

บทความล่าสุด