‘ทอง-น้ำมัน’ ไม่น่าลงทุน
นายณสุ จันทร์สม กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนอีเอฟจี (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มธนาคารอีเอฟจี ธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ในสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะโดดเด่น ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด
ขณะที่ราคาน้ำมันและทองคำคงจะไม่ปรับตัวขึ้นสูงอีกภายในปีนี้ เนื่องจากปี 2551 นักลงทุนได้นำเงินไปพักไว้ที่น้ำมันและทองคำเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นก็จะเริ่มหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงได้มากขึ้น เช่น ตลาดหุ้น
“ราคาน้ำมันจะผันผวนไม่เกิน 15 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากราคาปัจจุบัน ขณะที่ราคาทองคำราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 750 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์” นายณสุ กล่าว
สำหรับอัตราดอกเบี้ยคาดว่ายังอยู่ระดับต่ำถึงสิ้นปีนี้ โดยเงินเฟ้อจะเริ่มเป็นประเด็นสำคัญในช่วงปลายปี 2553 ส่วนเงินเหรียญสหรัฐคาดว่าจะผันผวนระยะหนึ่ง แต่แนวโน้มค่อนข้างอ่อนค่าต่อ เนื่องจากดอกเบี้ยยังอยู่ในขาลง ดังนั้นกองทุนพยายามกระจายความเสี่ยงไปถือเงินสกุลอื่น เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา
ทั้งนี้เศรษฐกิจโลกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะดีขึ้นในปีหน้า เพราะเริ่มเห็นตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐและเอเชียฟื้นตัวขึ้น แต่เชื่อว่าจะเห็นภาพเศรษฐกิจกลับมาฟื้นชัดเจนได้ภายในปี 2555
“ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่อย่างสหรัฐและญี่ปุ่นจะฟื้นตัวได้เร็วในลักษณะวีเชฟที่ลงแรงก็จะขึ้นแรงเหมือนกัน ขณะที่ยุโรปจะฟื้นตัวได้ช้าสุดและควรจับตาเป็นพิเศษ เพราะถูกถ่วงน้ำหนักจากเศรษฐกิจกลุ่มยุโรปฝั่งตะวันออก เช่น ไอร์แลนด์ โครเอเชีย ที่มีปัญหาเศรษฐกิจจากการที่มีหนี้สินสูง และสินทรัพย์ด้อยค่าจำนวนมาก
น.ส.พาเมลา ลิน ตัวแทนจาก อีเอฟจี ประจำกรุงลอนดอน กล่าวว่า กลยุทธ์การบริหารกองทุนนิว แคปปิตอล โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่กองทุนของบลจ.วรรณ จำนวน 2 กองลงทุนอยู่นั้น ขณะนี้บริษัทพยายามปรับกลยุทธ์เพื่อหาผลตอบแทนที่ ดีกว่าเงินฝากให้กับนักลงทุน จาก ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน 5.23% โดยมีอายุเฉลี่ยพันธบัตรในพอร์ต 1.76 ปี
“เดิมพอร์ตมีพันธบัตรรัฐบาล 75% ก็จะปรับลดไปซื้อหุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดี เช่น กลุ่มพลังงาน และสถาบันการเงิน ขณะที่สัดส่วนที่เหลืออีก 25% ลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ก็ได้ลดการถือเงินเหรียญสหรัฐลง และหันไปถือสกุลอื่นแทน โดยเฉพาะสกุลเงินเอเชียมากขึ้น” น.ส.พาเมลา กล่าว
ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย เปิดเผยว่า กองทุนเปิดเคแทม อินเวสเมนต์ เลเจนด์ ฟันด์ (KTIL) จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากการลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ 80% จึงเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนระยะยาวที่จะได้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงในราคาที่ไม่แพง
ทั้งนี้ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในวันที่ 3 ก.พ. 2552 ผลตอบแทนจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 14.5%
ข้อมูล โพสทูเดย์