วิกฤติราคาทองคำปี 52
เห็นได้ชัดตามข่าวจากสื่อต่างๆในปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องราคาทองคำที่ขึ้นสูงมากจนทำให้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมาการซื้อทองคำเพื่อแจกให้กับลูกหลานได้ความนิยมลดลง ในทางกลับกันร้านทองแทนที่จะขายทองได้ในราคาสูงกลับไม่เป็นเช่นนั้นประชาชนที่เก็บทองคำเอาไว้ต่างพากันนำออกมาขายเพื่อหวังได้ราคางามตามที่ตนหวังไว้ เหตุการณ์อย่างนี้ได้ส่งผลกับผู้ประกอบการณ์ร้านจำหน่ายทองคำเป็นอย่างมาก
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงผันผวน โดยในช่วงเช้าวันนี้ ปรับตัวขึ้น 901 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากนั้นปรับลงมาอยู่ที่ 897 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือลดลงประมาณ 4 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาขายทองคำในประเทศลดลงไปประมาณ 50-100 บาทต่อทองคำ 1 บาท แต่เนื่องจากร้านค้าทองคำประกาศราคาทองคำแท่ง ซื้อเข้า 14,550 บาท ขายออก 14,650 บาททองรูปพรรณ ขายบาทละ 14,341 บาท ทำให้ร้านค้าทองคำไม่กล้าปรับราคาลง เพราะเกรงว่าประชาชนจะไม่เข้าใจ และกล่าวหาร้านทองไม่เป็นธรรม จึงต้องรับภาระส่วนที่ขาดทุน
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ราคาทองคำตั้งแต่ปี 2551 ขึ้นลงผันผวนมาก ผู้ที่ซื้อทองคำก่อนเทศกาลตุรษจีนและขายหลังตรุษจีนจะได้รับกำไรบาทละ 1,000 บาท จึงนิยมเกรงกำไรในทองคำแท่ง เพราะได้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่อยากฝากประชาชนว่าให้ใจเย็น เพราะราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นถึง 15,000 บาท เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสขึ้นถึง 950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และอยากให้เห็นใจผู้ประกอบการร้านทองคำว่าขณะนี้กระแสขายทองคำรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้ที่ตื่นซื้อทองในช่วงทองคำถูก
นายจิตติ กล่าวอีกว่า ขณะนี้เงินสดที่เข้ามายังร้านค้าทองคำมีไม่เพียงพอ แม้แจ้งสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อขอเบิกเงินกับธนาคารไว้แล้ว จึงเป็นไปได้หรือไม่ ขอให้ ธปท.ช่วยสำรองเงินล่วงหน้า โดยร้านทองจะนำทองไปค้ำ ประกัน เพราะเนื่องจากตลาดต่างประเทศหยุดการซื้อขายช่วงเทศกาลตรุษจีน ทองคำที่รับซื้อจากประชาชนในช่วงสุดสัปดาห์จึงไม่ได้ขายไปต่างประเทศ จึงยังไม่มีเงินสดเข้ามา
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้เชิญสมาคมค้าทองคำมาหารือหลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ร้านทองคำย่านเยาวราชได้ปิดให้บริการรับช์อขายชั่วคราวโดยไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้าทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน
ดังนั้น กรมการค้าภายในจึงต้องการรับทราบเหตุผลของร้านทองคำ ในการหยุดให้บริการเพราะเห็นว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้บริโภค และไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน จึงขอความร่วมมือว่า หากในอนาคตจะปิดให้บริการต้องแจ้งให้กรมการค้าภายในและประชาชน ทราบ
ด้านนายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ รองเลขาธิการ สมาคมค้าทองคำ และประธานกรรมการบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า สาเหตุที่ผู้ค้าทองไม่สามารถเปิดให้บริการซื้อขายฟิวเจอร์สทองคำได้ทัน เนื่องจากเสียเวลาไปมาก กับขั้นตอนทางเอกสาร ซึ่งแม้เร่งดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว ก็คงจะไม่ทันในวันที่ 2 ก.พ.
"เชื่อว่าร้านค้าทองคงไม่เข้ามาลงทุนในฟิวเจอร์สทองคำมากนัก โดยนักลงทุนกลุ่มใหญ่ประมาณ 70% จะเป็นนักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นอยู่แล้ว แต่อาจมีผู้ค้าทองบางส่วนเข้ามาป้องกันความเสี่ยงบ้าง ซึ่งน่าจะมีสัดส่วนราว 20%" นายกิดาการ สุวรรณธรรมา ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า นักลงทุนที่จะเข้าลงทุนในฟิวเจอร์ส ทองคำจะเป็นกลุ่มที่เดิม เคยซื้อขายทองคำกับร้านทองอยู่แล้ว เพราะนักลงทุนกลุ่มนี้จะคุ้นเคยกับการซื้อขายแค่ตัวเลขราคา โดยไม่ได้รับสินค้าจริง จึงน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาในตลาด
ทั้งนี้ความน่าสนใจของฟิวเจอร์สทองคำ คือ มีสินค้าอ้างอิงซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของนักลงทุนทั่วไป เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ จะมีทองคำไว้ในครอบครองอยู่แล้ว เพียงแต่จะมีการคำนวณผลกำไรขาดทุน จากราคาทองที่เปลี่ยนไปหรือไม่เท่านั้น นอกจากนี้ การลงทุนฟิวเจอร์สทองคำ จะมีต้นทุนประมาณ 10% ของการลงทุนในทองคำจริง โดยถ้าใช้เงินลงทุนที่เท่ากันระหว่างทองคำจริงกับฟิวเจอร์สทองคำการลงทุนในฟิวเจอร์สมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าถึง 10% หากคาดการณ์ได้ถูกทาง
"คนที่เคยเทรดทองแล้วประสบความสำเร็จ ถ้าหากเปลี่ยนตัวเองจากตลาดUnderlying มาอยู่ในตลาดอนุพันธ์ เม็ดเงินที่เท่ากัน กำไรจะได้มากกว่า 10 เท่าถ้าถูกทาง"นายกิดาการ กล่าว สำหรับความเสี่ยงในการลงทุนสัญญาฟิวเจอร์สทองคำ ส่วนใหญ่จะเป็นความเสี่ยงมาตรฐาน คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาทองในตลาดโลก, ความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มเดียวกัน, อัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนปัญหาการเมืองระหว่างประเทศซึ่งอาจส่งผลต่อราคาทองคำในตลาดโลกได้
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยนอินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ค้าส่งทองคำรายใหญ่ของไทย กล่าวว่า มูลค่าสัญญาฟิวเจอร์สทองคำซึ่งกำหนดที่ 50 บาททองคำ/สัญญา ถือเป็นระดับที่เหมาะสม เพราะทำให้ผู้ที่จะเข้าลงทุน จะเน้นหนักไปที่สถาบัน และรายใหญ่ ซึ่งมีความรู้ในตัวสินค้า และมีเงินทุนเพียงพอ
ข้อมูล เชียงใหม่นิวส์
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง